เลือกภาษา
Stem Cell

"สเต็มเซลล์"

หรือเซลล์ต้นกำเนิด เป็นเซลล์ตั้งต้นที่อยู่ในร่างกายของเราที่ยังไม่มีลักษณะเฉพาะเจาะจงมีความสามารถเพิ่มจำนวน และพัฒนาตัวเองไปเป็นเซลล์ที่มีลักษณะเฉพาะเจาะจงได้จากประวัติทางการแพทย์แสดงให้เห็นว่า สเต็มเซลล์ใช้รักษาโรคและอาการป่วยที่หลากหลาย รวมถึงเวชศาสตร์ฟื้นฟูสภาวะเสื่อม (Regenative Medicine) ในปัจจุบันมีหลายโรคที่ประสบความสำเร็จในการรักษา เช่น โรคมะเร็ง โรคความผิดปกติของเลือด (ธาลัสซีเมีย) และโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง


"Stem cells"

Stem cells are naive, undifferentiated cells present in our body which have the ability to multiply and differentiate into specific cells. Medical advancements have shown stem cells to be effective in treating a anumber of life threatening diseases while also having  major success in the area of regenerative medicine and rejuvenation. The cells which are found are either hematopoietic cells, which are blood related cells or non-hematopoietic cells, which are tissue cells that can differentiate into the various organs in the body.

 

สเต็มเซลล์จากเลือดสายสะดือ สามารถรักษาโรคร้ายแรงต่างๆได้

stem cells can cure a variety of diseases and illnesses

 

ทำไมจึงควรเก็บสเต็มเซลล์

สเต็มเซลล์จากเลือดสายสะดือ เซลล์ที่ล้ำค่าที่สุดของเซลล์ต้นกำเนิด

สเต็มเซลล์จากเลือดสายสะดือ (Hematopoietic Stem Cell) เป็นแหล่งที่มาสำคัญของเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิต และนำมาใช้ในการฟื้นฟูเซลล์เม็ดเลือดและระบบภูมิคุ้นกันให้กับผู้ป่วย ภายหลังจากที่ภูมิคุ้มกันถูกทำลาย เนื่องจากได้รับการรักษาด้วยเคมีบำบัดและการฉายรังสี โดยสเต็มเซลล์จะนำมาปลูกถ่ายผ่านเส้นเลือดดำ และจะเดินทางไปยังไขกระดูก ทำให้เกิดการสร้างเซลล์เม็ดเลือดต่างๆ ทำให้ผู้ป่วยกลับมามีเซลล์เม็ดเลือดและระบบภูมิคุ้มกันตามปกติ นอกจากนั้นยังสามารถนำมาใช้รักษาโรคได้มากกว่า 85 ชนิดเช่น โรคในกลุ่มมะเร็ง โรคความผิดปกติของเลือด โรคข้อบกพร่องของระบบภูมิคุ้มกัน โรคความผิดปกติของเมตาโบลิซึ่มและอาการของโรคไขกระดูกล้มเหลว ตัวอย่างเช่น

กลุ่มโรคมะเร็ง ได้แก่ โรคมะเร็งของเซลล์เม็ดเลือดทุกชนิด เช่น
1. โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว และมะเร็งต่อมน้ำเหลือง
2. โรคมะเร็งที่อวัยวะต่างๆ

กลุ่มโรคที่เกี่ยวกับความผิดปกติของการทำงานของเซลล์ไขกระดูก เช่น
1. โรคโลหิตจางชนิด Aplistic (Severe Aplastic Anemia)
2. โรคโลหิตจางชนิด Fanconi (Fanconi Anemia)
3. Pure Red Cell Aplasia
4. Paroxysmal Nocturnal Hemoglobinuria (PNH)
5. Amegakaryocytosis / Congenital thrombocytopenia

กลุ่มโรคภูมิคุ้มกันบกพร่องแต่กำเนิด เช่น
1. Combined Immunodeficiency (CID)
2. Severe Combined Immunodeficiency (SCID)
3. ADA or PNP Deficiency
4. Common Variable Immunodeficiency Disease (CVID)
5. Hypogammaglobulinemia
6. Wiskott-Aldrich Syndrome

กลุ่มโรคที่เกิดจากความผิดปกติของการสร้างเม็ดเลือดแดง เช่น
1. โรคโลหิตจางธาลัสซีเมีย
2. โรคโลหิตจางชิคเกิลเซลล์ (Sickle Cell disease)

กลุ่มโรคที่เกิดจากความผิดปกติของระบบการเผาผลาญอาหาร (Metabolism) เช่น
1. Adrenoleukodystrophy (ALD)
2. Metachromaticleukodystrophy
3. Globoid CellLeukodystrophy (Krabbe Disease)
4. Alpha-mannosidosis
5. Hurler Syndrome
6. Hurler-Scheie Syndrome
7. Hunter's Syndrome
8. Sanfilippo Sundrome
9. Niemann-Pick Syndrome, types A and B
10. Tay Sachs Disease


Why stem cells should be stored?

Every baby's stem cells should be stored as an insurance for future good health. Currently, stem cells are considered standard treatment for a variety of disease which an individual may develop, whether or not there is family history.

Cord Blood Stem Cells:

Cancers, including all types of cancers related to blood, such as:
Leukemia, Lymphoma and cances at different organs.

Disease relating to disorders of bone-marrow cells, such as:
1. Severe Aplastic Anemia
2. Fanconi Anemia
3. Pure Red Cell Aplasia
4. Paroxysmal Noctumal Hemoglobinuria (PNH)
5. Amegakaryocytosis / Congenital Thrombocytopenia

Primary immunodeficiency
1. Combined immunodefiency (CID)
2. Severe Combined immunodefiency (SCID)
3. ADA or PNP Defiency
4. Common Variable Immunodefiency Diseased (CVID)
5. Hypogammaglobulinemia
6. Wiskott-Aldrich Syndrome

Diseases from Hematopoiesis disorders, such as:
1. Thalassemia
2. Sickle Cell Disease

Diseases caused from disorders of metabolism, such as:
1. Andrenoleukodystrophy (ALD)
2. Metachromaticleukodystrophy
3. GloboidCellLeukodystrophy (Krabbe Disease)
4. Alpha-mannosiclosis
5. Hurier Sundrome
6. Hurler-Scheie Syndrome
7. Hunter's Sundrome
8. Sanfilippo Syndrome
9. Niermann-Pick Syndrome, type A and B
10. Tay Sachs Disease
 

24 พ.ค. 2561 20:13   1222 Views
ส่งต่อบทความนี้ให้ผู้อื่น
FACEBOOK
LINE




บทความน่าสนใจ
บทความทั้งหมด
Bioplasma (ไบโอพลาสม่า)         เป็นเครื่องมือที่ช่วยรักษาและขจัดต้นเหตุการเกิดสิวเรื้อรัง สิวผด สิวติดสเตียรอยด์ ผิวแพ้ง่าย ผิวหยาบกร้าน ผิวอักเสบ ริ้วรอยเหี่ยวย่น หรือสีผิวที่ไม่สม่ำเสมอ ด้วยการนำเทคโนโลยีคลื่นความถี่วิทยุ ส่งผ่านพลังงานพลาสมาแบบเย็น เข้าไปช่วยขจัดเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพ กระตุ้นให้มีการสร้างเซลล์ผิวขึ้นมาใหม่ ลดอาการอับเสบของสิว  โดยไม่มีบาดแแผล ไม่ทำให้เกิดความเจ็บปวด  และควบคุมการรักษาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ   หลักการทำงาน          นวัตกรรมของเครื่องไบโอพลาสมา เป็นการใช้เทคโนโลยีคลื่นความถี่วิทยุร่วมกับไมโครแฟรกชั่นแนลพลาสมา (Radiofrequency technology with Micro-fractional plasma Module : BIOPlasma) ก่อให้เกิดการเหนี่ยวนำคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีแรงดัน และคลื่นความถี่สูง ชนิดเป็นจังหวะ ผ่านพลังงานไปยังหัวจ่ายกึ่งตัวนำไฟฟ้า ทำให้เกิดพลังงานพลาสมา ซึ่งมีประจุอิสระบวกและลบ โอโซน และลำแสงโฟนตอนสีน้ำเงิน ออกมาทำให้เกิดการขจัดเซลล์ผิวชั้นนอกอย่างอ่อนโยน ระดับไมโครลึกลงไปถึงเซลล์ของผิว ทำให้สามารถขจัดคราบเคราตินที่อุดตัน และช่วยขจัดต้นเหตุของการเกิดสิว (P-acne) ขจัดเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพให้หลุดออก  ขจัดเชื้อจุลาชีพเล็กๆ ที่เกาะบนผิว รวมถึงสามารถขจัดจุดด่างดำที่เกิดจากเม็ดสีที่ผิดปกติหรือผิวที่ตายแล้วออก เกิดกระบวนการซ่อมแซมผิวหนังที่อักเสบติดเชื้อ ลดกระบวนการอักเสบของผิวหนัง และจากคลื่นเรดิโอฟรีเควนซี่ ซึ่งมีผลต่อต่อมไขมันและการเกิดขน โดยคาดว่ากลไกคือ เกิดโคแอ๊กกูเลชั่น (coagulation) และต่อมไขมันหดตัว พร้อมมีการหยุดการทำงานชั่วคราว ปรับการสร้างเคอราตินให้กลับสู่ภาวะปกติ ส่งเสริมให้เกิดการหดตัวของชั้นผิว ก่อให้เกิดการกระชับผิว รวมถึงในระยะยาวจะส่งเสริมให้เกิดการเรียงตัวของชั้นคอลลาเจนในผิวดีขึ้น  ทั้งยังเกิดปฏิกิริยากับพื้นผิวชั้นนอกเกิดเป็นพลังงานโอโซนเป็นแสงสีน้ำเงินม่วง สามารถฆ่าเชื้อ ช่วยรักษาสิว และช่วยให้ลดอาการอักเสบที่เกิดจากสิวหรือผื่นแพ้ให้ดีขึ้นและหายไปในที่สุด อีกทั้งประจุอิสระ ยังช่วยการดูดซึมของสารอาหารลงสู่เซลล์ผิวได้ดีขึ้น เมื่อหลังทำจะสังเกตุเห็นได้ว่าผิวแลดูกระจ่างใสขึ้น สุขภาพผิวดี และยังช่วยในการกระชับผิวอีกด้วย โดยพลังงานพลาสมาเย็นนี้ จะให้อุณหภูมิประมาณ 40-42 องศา ไม่ก่อให้เกิดบาดแผล ไม่มีอาการเจ็บปวด    ผู้ที่เหมาะสม ผู้มีปัญหาสิว ผิวเสีย ผิวหยาบกร้าน ผิวติดสเตียรอยด์ ผู้ที่มีปัญหาสิวผด ผื่นแพ้ ผู้ที่มีปัญหาหน้ามัน รูขุมขนกว้าง โรคผิวหนัง แผลเรื้อรัง และแผลทุกชนิด ริ้วรอยแห่งวัย ผิวไม่กระชับ ผิวหมองคล้ำไม่สดใส หม่นหมอง    ข้อควรระวังและผลข้างเคียง หลังทำควรพักหน้าเป็นระยะเวลา 15-20 นาทีก่อนแต่งหน้า หลังทำอาจมีอาการบวม แดง เล็กน้อย และจะหายไปเอง หลังทำอาจเกิดขุ่ยเล็กน้อยที่ใบหน้า หลังหน้าแห้งเล็กน้อย   ข้อห้ามในการใช้ ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่ติดเครื่องกระตุ้นหัวใจ บริเวณที่ใส่โลหะ    
อ่านบทความ
คีเลชั่นคืออะไร? การฟื้นฟูหลอดเลือดโดยคีเลชั่น (CHELATION THERAPY) กำจัดสารโลหะหนัก ฟื้นฟูหลอดเลือด กระตุ้นการไหลเวียนระบบโลหิต ให้ร่างกายกลับมาสดชื่นสมบูรณ์แข็งแรง คีเลชั่น คือ การให้สารนำ้ทางหลอดเลือดดำ (ให้น้ำเกลือ) ที่มีสารประกอบประเภทกรดอะมิโน ที่เรียกว่า EDTA ผสมกับวิตามินและแร่ธาตุ ซึ่ง EDTA ทำหน้าที่สำคัญในการจับสารโลหะหนัก เช่น ตะกั่ว ปรอท สารหนู หรือแม้แต่แคลเซียมส่วนเกิน ซึ่งสะสมตกค้างในเนื้อเยื่อและพอกอยู่ตามผนังหลอดเลือดของเรา เป็นอันตรายต่อผนังเซลล์และผนังหลอดเลือด เพื่อขจัดออกจากร่างกายทางระบบปัสสาวะขับถ่าย ช่วยรักษาอาการอักเสบของหลอดเลือด ส่งผลให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น สำหรับคนที่มีหลอดเลือดหัวใจตีบและแข็ง สามารถหลีกเลี่ยงการผ่าตัดบายพาสได้ถึง 85% ทำให้หลอดเลือดมีความยืดหยุ่นและขยายตัวเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยลดปริมาณการเกิดอนุมูลอิสระ และการเกาะตัวของคอเลสเตอรอลที่ผนังหลอดเลือด รวมไปถึงลดอาการของกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดไปหล่อเลี้ยง ทำให้สุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงและสดชื่นขึ้น ระยะเวลาในการให้น้ำเกลือแต่ละครั้ง ประมาณ 2.5 - 3 ชั่วโมง ระหว่างที่ให้น้ำเกลือสามารถพักผ่อน ดูโทรทัศน์ รับประทานอาหารว่าง อ่านหนังสือหรือฟังเพลงได้ตามปกติธรรมดา ภายหลังจากการเสร็จการรักษาสามารถประกอบกิจกรรมได้ตามปกติ ไม่จำเป็นต้องนอนพัก
อ่านบทความ




J Biohealth, Bioactive Peptide อาหารเสริม และนวัตกรรมทางสุขภาพที่เหมาะสมกับท่านที่สุดในเวลานี้

ติดต่อเรา
Tel: 088 830 1890
Tel: 081 542 9685
Tel: 089 291 4443
Email: JongsawadiClinic@gmail.com